วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จริงตนาการ ของ Phitta

สวัสดีค่ะ เพื่อนทุกคนที่ให้เกียรติ์เข้ามาดูบล๊อกของเรา...
  บล๊อกนี้เราตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อให้ทุกคนที่เข้ามาดู สนุกไปกับการเรียนรู้ทักษะทางภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ โดยให้เสียงเพลง ดนตรี และภาพยนตร์เป็นสื่อในการเรียนรู้ของเรา ที่จริงแล้วเราไม่อยากใช้คำว่าเรียน..เลยเพราะมันฟังดูแล้วน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้นะ (ทำให้คิดถึงโรงเรียนที่มีคุณครูที่โหดๆ คอยมาบอกให้ทำโน้นทำนี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ที่เรากับไม่เคยเห็นมันดีเลย 55)...เราอยากให้ทุกคน ฝึกทักษะด้วยความสนุกสนาน เหมือนเราฟังเพลง ดูหนังทั่วๆ อย่าไปใส่ใจกับตัวภาษาให้มาก แค่เพื่อนๆ สนุกไปกับหนังและเพลง แค่นี้ ก็เหมือนดั่งบล๊อกนี้สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง......^ ^

บทส่งท้ายวันแรก 55

สำหรับวันนี้ก็ต้องขอตัวกลับบ้านก่อนนะค่ะ   ก่อนไปก็ขอฝากเพลงซึ้งๆซักเพลง... หวังว่าทุกคนคงรู้จักเป็นอย่างดี และอิ่มเอมไปกับบทเพลงนี้นะคะ BYe bye

หัวใจสีดำ

เพียงหนึ่งก้าวใน..ความทรงจำ ไม่ว่าจะก้าวออกมา หรือ ถอยกลับไป ในบางครั้งก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน...
ประหนึ่งดั่งห้องแห่งความทรงจำในอดีต ที่เคยสัมผัสของแต่ละคน สีสันที่แต่งแต้มภายในห้อง ย่อมมีหลากหลายเฉดสี หลายๆอารมณ์ และ หลากหลายความรู้สึก แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือทุกๆสิ่งภายในห้องแห่งนั้น เป็นอดีตของความทรงจำที่ยัง ฝั่งรากลึกภาย..ในใจ
บางคน..อาจจะเปิดประตู มองเข้าไปในห้อง
 แล้วยิ้มอย่าง..มีความสุข กับสิ่งที่..งดงาม
บางสิ่ง..ที่มีค่า มีความหมาย
ที่ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลา
ซึ่งเก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ..ไว้ในนั้น


บางคน..อาจเปิดประตูเดินออกมา
และ ก็ไม่เคยคิด ที่จะมองย้อนกลับไปที่ห้อง..นั้นอีกเลย

บางคน..อาจจะพยายาม
เปิดประตูออกมาจากห้วงความทรงจำ ในห้องแห่งนั้น
แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไร ก็คงยังติดอยู่ในเฉดสีของ..ห้องแห่งนั้น  ติดอยู่ในความทรงจำ ที่เคยคิดว่าดี คิดว่าสวยงาม คิดว่า..มีความหมาย แต่สุดท้ายเฉดสีที่คิดว่า
สวยที่สุด กลับแฝงด้วยคราบน้ำตา ในวาระของสี..
ซ่อนสี อารมณ์ซ่อนอารมณ์ และ ความปวดร้าว ซุกซ่อน..ในวันวาน


ซึ่งหลายๆคน อาจจะมีแต่ห้องที่ยังว่างเปล่า สีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งยังไร้การแต่งแต้มเฉดสีจากความทรงจำ ไม่ว่ากาลเวลาจะหมุนผ่านไปกี่รอบ ห้องแห่งนั้นก็คงเป็น..สีขาวอยู่เสมอ

อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าของห้องยังไม่พร้อมที่จะแต่งแต้มเฉดสีในห้องนั้น หรือไม่ก็ยังหาเฉดสีที่เหมาะสมกับห้องของตนไม่ได้ และก็ได้ปล่อยให้ห้องแห่งนั้น เป็นหัวใจสีขาวตลอดมา..เรื่อยๆไป

แต่แล้วในวันหนึ่งมีใครคนหนึ่ง
ได้พยายามก้าวมาเปิดประตูห้องหัวใจสีขาว..ของเรา
ด้วยความรู้สึกที่อยาก..ผูกพัน ด้วยคำพูดที่..สวยงาม
ดูดี มี..ความหมาย เสียงแห่งรักได้ลอยลม ผ่านประตูมาสู่ห้องแห่งนั้น..วันละนิด

จากหัวใจสีขาว ที่เคยป็นสี ของห้องแห่งนั้น ค่อยๆโดนกัดกร่อนไปที..ละนิด
จนเหลือเพียงแค่ สีแห่งรัก สีแห่งความหมาย สีของหัวใจ และ สีแห่งความต้องการ..หัวใจสีชมพู


ซึ่งเมื่อเวลา นานวันไป
หัวใจสีชมพูค่อยๆซีดลง ตามวัน และ เวลา
ของ...ความโลเล


สีที่เคยสดใส มีแต่คืนวันที่..งดงาม ไม่ว่าเราจะพยายาม แต่งแต้ม เติมเต็ม หรือ จะเพิ่มปริมาตรของสีเท่าไรใน สีชมพูสีเดิมนั้น ก็ยังคง..ไม่ยอมรับ สุดท้ายมันก็ค่อยๆ เลือนหาย และ..จางลงอยู่ดี
ซึ่งคงลืมไปว่า..หัวใจสีชมพู ที่เอามาแต่งแต้มนั้น
 มันไม่ใช่..สีของเรา
หากแต่เป็น สีของอีกคนที่เขา..เอามาให้เรา
และเขาก็ได้ก้าวจากไป พร้อมกับสี..ของเขา
สุดท้ายสีหัวใจ ที่จะมาระบาย กลบทับได้ คงมีแค่เพียงสีเดียว..สีดำ

หลายต่อหลายครั้ง ที่เราพยายามออกจากห้องแห่งนั้น
 แต่ก็ถูกฉุดดึงไว้ด้วย ความผูกพัน..ในอดีต
ประหนึ่งดั่งโซ่ลามตวนแห่งหัวใจ
ตอกและย้ำลงกลอนประตูด้วย..ความอาลัย


หนึ่งก้าวที่ใครคนหนึ่ง ก้าวเข้ามา กับ หนึ่งก้าวของคนที่อยู่ในนั้นก้าวออกไป มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ละย่างก้าว ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเจ็บ..เจ็บทุกครั้งที่ก้าว กรีดลึกสุดใจเสมอที่..นึกถึง

สุดท้ายคงทำได้แค่เพียง เดินวนอยู่ในนั้นและติดอยู่ในห้องแห่งนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีใครสักคนที่จริงใจ นำสีชมพูที่เคยหายไป เข้ามาระบายแทนที่..หัวใจสีดำ
“หนึ่งสีคิดทบทวนก่อนระบาย หากทุกครั้งที่ระบาย แม้สีจะจางหายไป แต่ความผูกพัน..ก็ยังคงอยู่”



เครดิต: คนบ้านเดียวกัน





โอ้...ยาว...แท้...ฮ่าๆ

ที่มา:http://fwmail.teenee.com/etc/45496.html

ควรพูดอะไรให้คน ที่คุณชอบรู้สึกดี..!!

ในการเปิดฉากสนทนากับ “คนที่หนูๆ ช้อบชอบ” อยากชวนให้ “มาเป็นแฟนกันเถอะ” 
น่าจะมีศิลปะในการพูดใช่มะ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าอยากพูด หรืออยากถามอะไรก็โพล่งขึ้นมา โดยอ้างว่า ก็ฉันเป็นคนตรงๆนี่หว่า –คงไม่ได้หรอก แหมจะจีบเค้าทั้งที ควรมีหัวข้อสนทนา ที่ทำให้คนนั้นอยากคุยกับเราต่อไปเรื่อยๆสิ อย่าเถรตรงเกินไป แต่ควรมีมารยาทไว้ก่อนแล้วดีเองน้อง
ซึ่งใน หัวข้อที่ควรพูดและหลบเลี่ยง ที่จะงัดมาหัวร่อต่อกระซิก เอ้ย…เจรจากับคนที่คุณสนใจ (Conversation Topics) บอกให้ทราบว่ามีอะไรบ้าง ที่อย่าหยิบขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาเลย เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ “คนพิเศษ” ชอบคุณมากขึ้นแล้ว อาจทำให้เค้าอึดอัดจนไม่อยากพบคุณอีกก็ได้ รวมทั้งหัวข้อที่น่าชวนคุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่น (ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหรือสาวก็ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ผิดกติกามวยโลกหรอก) เช่น…..
1. ไม่ควรตั้งกระทู้ถึงปัญหาสุขภาพ ขืนถามถึงปัญหาสุขภาพของ “คนที่คุณสนใจ” ตั้งแต่เพิ่งรู้จักกันละก็ โอ้โห เหมือนคุณไม่ให้เกียรติเขาเลยนะเนี่ย เพราะถามแบบนี้ก็เท่ากับระแวงสิว่า เขาเป็นโรคร้ายอะไรอยู่หรือเปล่า? แม้ใจจริงอาจแค่หาอะไรมาพูดด้วยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องเซนซิทีฟไป ทว่าถ้าเป็นห่วงจากใจจริง จะถามก็ได้ไม่มีใครว่า เว้นแต่ถ้าตัวคนถูกถามโวยวายขึ้นมาก็อธิบายกันซะให้ดี แต่เอ…มีเหมือนกันที่บางคนชอบใช้แผนเรียกร้องความสงสาร จากเหยื่อด้วยการบอกว่าเขาป่วยอย่างงั้นอย่างงี้ จะฟังใครทั้งทีก็ควรมองหน้าคนพูดหน่อยว่าน่าเชื่อถือหรือไม่
2. อย่าพูดจาภาษาเทคนิเชียนให้มาก การสร้างความสัมพันธ์ทางใจไม่จำเป็นต้องงัดศัพท์แสงแสลงหูมาพูดก็เข้าใจกันได้ แต่แปลกแฮะพูดกับคนที่เราชอบด้วยการใช้ศัพท์แปลกๆ หรือศัพท์ เทคนิคด้านแพทย์, เภสัชฯ หรือไอทีอะไรเนี่ย ตอนแรกๆก็คงสนุกดี แถมชวนให้อยากคุยอีกต่างหาก แต่ขืนเจอกันทุกครั้งเป็นต้องแปล “เสียงในฟิล์ม” กว่าจะเข้าใจทีคงลำบากแฮะ เออ…ถ้า “ว่าที่แฟน” เป็นชาวต่างชาติก็ว่าไปอย่าง เพราะพอทำใจให้รู้แต่แรกแล้วว่าแตกต่างกันก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน แล้วถ้าอีกฝ่ายรักเราจริง เขาอาจย่องเงียบไปเรียนภาษาเพื่อเซอร์ไพรส์คุณก็ได้ ดีซะอีกเป็นการทดสอบด้วยว่าเขาชอบเราจริงรึเปล่า?
3. อย่าถามถึงอดีต เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรถามเรื่องอดีตคู่รัก เว้นแต่อีกฝ่ายอยากพูดก่อน ที่ไม่ควรถามก็เผื่อว่า “ใครคนนั้น” อาจยังเจ็บช้ำระกำรักอยู่ก็ได้ หนำซ้ำจุดมุ่งหมายของการคบกันคราวนี้ คือการสร้างความประทับใจ, สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่ใช่หวนรำลึกถึงหรือตอกย้ำเรื่องเศร้า หรือความผิดพลาดในอดีตนี่นา
4. ถามถึงพี่ๆน้องๆของอีกฝ่ายมั่งก็ได้ ถือเป็นหัวข้อสนทนาที่ปลอดภัย แสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจในชีวิตครอบ-ครัวของ “คนที่คุณชอบ” เป็น พิเศษ แต่อย่าสะเออะถามว่า เขามีพี่หรือน้องที่แจ๋วแหววเจ๋งเป้งกว่าเค้าหรือเปล่าละกัน หากอีกฝ่ายไม่มีพี่หรือน้องหล่อกว่าหรือฉลาดกว่าก็แล้วไป แบบนี้ยังเปิดทางให้เขา “คุยโว” ได้ แต่ถ้ามีล่ะ เพราะเขาเอง (คนที่คุณชอบ) ดันรู้สึกอยู่ลึกๆในใจอยู่แล้วว่าด้อยกว่าพี่น้อง ก็เท่ากับไปขยี้ปมด้อยให้แผลลึกไปอีก เสี่ยงว่ะ ว่ามะ
5. ถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่นชอบ ไม่ว่าใครก็ชอบคุยเรื่องนี้ทั้งนั้น เพราะหัวข้อเรื่องงานการที่ทำอยู่น่ะมันเคร่งขรึมไปหน่อย สู้ถามถึงประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยว ความประทับใจ และความเพลิดเพลินบันเทิงใจไม่ดีกว่ารึ รับรองไม่ใครก็ใครย่อมยินดีเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ถ้าสนใจในสถานที่คล้ายกัน จะได้ชวนไปเที่ยวซะเลย ยิงทีเดียวได้นกสองตัว ไชโย… ถือโอกาสสานความสัมพันธ์ล้ำลึกยิ่งๆขึ้นไปเลยซี แต่อย่าไปปล้ำเขาละกัน
6. คุยเรื่องอาหาร-เครื่องดื่ม หัวข้อการสนทนาอีกประการที่ไม่ควรพลาดคือ พูดคุยกันเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม แล้วเดี๋ยวก็จะรู้เองแหละว่า ต่างฝ่ายต่างชอบทานอะไร และไม่ชอบอะไร ใจตรงกันหรือต่างจิตต่างใจ เผลอๆถ้าเขาบอกว่า ชอบทำอาหารละก็ งั้นรีบพูดเปิดทางให้เขาชวนคุณไปทานข้าวที่บ้านเขาเลยสิ ให้โอกาส “ฝ่ายนั้น” ได้โชว์ฝีมือการควงตะหลิวมั่งก็ดีนะ อีกอย่างการคุยถึงเครื่องดื่ม ก็จะได้รู้ไงว่าไอ้นี่ขี้เมารึเปล่า ขืนดื่มสุรายาเมาเป็นน้ำเปล่าละก็ ระวังจะพากันกินแกลบในอนาคตนะ
7. คุยเรื่องพื่อนๆ ผู้หญิงชอบคุยถึงเพื่อนสนิทซึ่งชายก็ชอบด้วยแหละ แต่ต่อหน้าสาวที่เขาชอบอาจไม่อยากพูดเพราะกลัวโดนแย่งก็ได้ แต่ถ้าเธอทำให้มั่นใจได้ว่าคุยให้ฟังได้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้สนใจอยากเป็นแฟนซะหน่อย งั้นก็คุยซี แล้วอย่าลืมถามถึงเพื่อนเธอด้วยแม้ว่าจะไม่รู้จักก็ตาม จะได้ทราบว่าเพื่อนคนไหนที่มีความหมายกับอีกฝ่ายอย่างไร หรือใครบ้างที่ทำไม่ดีด้วย จะได้มีศัตรูตรงกันไง
8. คุยถึงเวลาว่าง หรือช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างทำอะไรสนุกๆ ถามถึงกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ต่างฝ่ายต่างชอบ จะได้หาโอกาสไปทำกิจกรรมนั้นร่วมกัน หรือชอบฟังเพลงประเภทไหน จะได้ควงกันไปดูคอนเสิร์ตวันหลัง ถ้านิยมไปเที่ยวสวนสนุก หรือสวนน้ำ ซัมเมอร์นี้จะได้ชวนกันไปตะลุยลงสระลงทะเลซะเลย แต่ถ้าฝ่ายไหนจำเป็นต้องไปกะครอบครัวก็ถอยดีกว่า
9. สุดสัปดาห์จะนัดเจอกันดีไหม? คู่ที่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน ย่อมอยากเจอกันในวันหยุดสุดสัปดาห์แหงๆ ซึ่งหากว่างตรงกันก็ดีเลย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะบางคนต้องทำงาน บางคนอาจมีธุระ ก็นัดกันให้รู้เรื่องรู้ราวไปซะ ไม่จำเป็นต้องเจอทุกวันหยุดก็ได้นี่ กระนั้นการใช้ชีวิตในช่วงวันหยุดด้วยกันซะมั่งอาจทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้นก็ได้นะ ว่าชีวิตที่อยู่กับใครคนนี้จะเป็นแบบไหน ถ้าใจตรงกันก็แจ๋วไปเลย
10. หากเขาชวนไปทานอาหาร แล้วพอถึงเวลาเช็กบิล เขาดันบ่นพึมพำว่า ตายล่ะวันนี้พกเงินสดมาไม่พอ แถมบัตรเครดิตก็ลืมเอามา “งั้นคุณจ่ายไปก่อนได้ไหม?” …อุบัติเหตุแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายชวนก็ควรเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ว่าไหม ขนาดเลี้ยงข้าวยังไม่พร้อมเลย แล้วจะเลี้ยงแฟนไหวเรอะ…น่าเก็บไปคิดเหมือนกันนะ
ที่มา:http://variety.teenee.com/foodforbrain/41219.html

30กำลังแจ๋ว'รายได้กระฉูดฝ่าน้ำท่วม 'คิง'ชี้คนลุยน้ำไปดู

ไปร่วมกิจกรรม ดูหนัง ฟังเพลง ครั้งที่ 3 ด้วยการฉายหนังเรื่อง "30 กำลังแจ๋ว" ที่โรงภาพยนตร์สยาม ภาวลัย สยามพารากอน ผู้กำกับฯ 'คิง'สมจริง ศรีสุภาพ เผยถึงภาพ ยนตร์ "30 กำลังแจ๋ว" ว่า
"ตอนนี้รายได้จะประมาณ 40 กว่าล้าน ซึ่งก็ถือว่ายังดีมากๆ เพราะโรงฉายหายไปประมาณ 50% เพราะน้ำท่วม ถ้าหากว่า โรงไม่ถูกน้ำท่วมรายได้ก็คงจะมากกว่านี้ แต่แค่นี้ก็ถือว่าพอใจมาก เพราะว่าหนังมีฟีดแบ็กจากคนดูที่คนทำหนังอย่างเราเห็นแล้วชื่นใจ ในสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก เขาจะพูดถึงหนังเรื่องนี้กันเยอะมาก บางคน ดูถึง 2-3 รอบ บางคนถึงขนาดลุยน้ำออกจากบ้านมาเพื่อดูหนังเรื่องนี้ อีกทั้งยังมีการพูดกันอีกว่าตัว ปอ ที่เล่นโดย เคน-ภูภูมิ เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงอยากจะได้เป็นคนรักที่สุด เพราะเป็นผู้ชายในอุดมคติอย่างมาก เรียนหนังสือเก่ง ทำงานดี หล่อ รักจริง"

"ผลสะท้อนแบบนี้ทำให้เราดีใจมากๆ ทำให้เราคิดว่าคนดูได้เห็นในสิ่งที่เราตั้งใจ ก็มีการคุยกับทางคุณเอ็มมี่ เอ็ม 39 (จันทิมา เลียวศิริกุล) ไว้ว่า ไม่แน่ว่าเราอาจจะมีเวอร์ชั่น พิเศษขึ้นมาอีก เพราะมีสิ่งที่เราตัดทิ้งไปมีประมาณชั่วโมงกว่าๆ ไม่ใส่ลงในหนังเพื่อความเหมาะสม และก็อยากจะให้หนังเวอร์ชั่นนี้สมบูรณ์ที่สุด แต่ถ้ามีเสียงเรียกร้องเข้ามาคงจะต้องมาคุยกันกับทางบริษัทอีกที อาจจะลงเป็น ดีวีดี เป็นเวอร์ชั่นพิเศษครับ"
http://entertain.teenee.com/thaistar/79504.html

เพลงแนะนำวันนี้ ^ ^